ผู้เสียหายโดยตรง
มาตรา
๒ (๔) “ผู้เสียหาย” หมายความถึงบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำผิดฐานใดฐานหนึ่ง
๑ ต้องมีการกระทำความผิดทางอาญาฐานใดฐานหนึ่ง
๒ ผู้เสียหายต้องเป็นบุคคล
- กรมต่างๆ
ในกระทรวงกลาโหมไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคล
- สำนักสงฆ์ สนามม้า ศาลเจ้า
หรือกองทุนหมู่บ้านไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคล แต่ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบดูแลสำนักสงฆ์
สนามม้า ศาลเจ้า หรือกองทุนหมู่บ้าน เป็นผู้เสียหาย
-
เจ้าอาวาสเป็นผู้แทนของวัดที่ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา
แต่วัดร้างอยู่ในความปกครองของกรมการศาสนา
- วัดบาทหลวงโรมันคาธอลิกเป็นนิติบุคคล
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2236 -
2237/2550
ความผิดฐานปลอมเอกสารและฐานใช้เอกสารปลอม
เป็นความผิดต่อผู้ที่ได้รับความเสียหายโดยตรงจากการกระทำของจำเลยที่ปลอมและใช้เอกสารปลอมตามฟ้อง
แม้จำเลยจะปลอมหนังสือของผู้ตายส่งไปถึงนายแพทย์อำนวยการโรงพยาบาล บ. ว่า
ผู้ตายขอลาการปฏิบัติงานแล้วลงชื่อปลอมของผู้ตายในหนังสือดังกล่าว
และจำเลยได้ปลอมจดหมายของผู้ตายส่งไปถึงนาย ช. กับนางสาว ก.
บุตรชายและบุตรสาวของผู้ตายว่า ผู้ตายต้องไปฝึกสมาธิ
เพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเอกสารปลอมนั้นผู้ตายได้ทำขึ้นจริง ทั้งนี้โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นก็ตาม
ในกรณีนี้โจทก์ที่ 1
ซึ่งเป็นบิดาผู้ตายก็ยังถือไม่ได้ว่าเป็นบุคคลผู้ได้รับความเสียหาย
เนื่องจากการกระทำดังกล่าวตาม ป.วิ.อ. มาตรา 2 (4) ทั้งความผิดดังกล่าวได้เกิดขึ้นภายหลังจากผู้ตายได้ถึงแก่ความตายไปแล้ว
ผู้ตายไม่อาจเป็นผู้เสียหายในความผิดดังกล่าวได้
๓ บุคคลนั้นต้องได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำผิดฐานนั้น
(๑) หากมีหลายฐานความผิดจะต้องแยกพิจารณาการเป็นผู้เสียหายแต่ละฐานความผิดไป
โดยพิจารณาว่าแต่ละฐานความผิดนั้นมีคุณธรรมทางกฎหมายต้องการคุ้มครองใคร เช่นความผิดอาญาตาม
พระราชบัญญัติ จราจรทางบกฯ มีคุณธรรมทางกฎหมายของฐานความผิดที่มุ่งคุ้มครองรัฐเท่านั้น
ดังนั้นผู้เสียหายที่เป็นเอกชนไม่อาจเป็นผู้เสียหายได้ แม้ว่าเอกชนจะได้รับความเสียหายก็ตาม
(๒) สิทธิในการดำเนินคดีอาญาที่ตนเป็นผู้เสียหายย่อมเป็นสิทธิเฉพาะตัวของผู้เสียหายแต่ละคน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่
5934/2533 ตามมาตรา 36
หมายความว่า
ในคดีอาญาที่ผู้เสียหายคนหนึ่งได้ยื่นฟ้องไว้แล้วถอนฟ้องคดีนั้นไปจากศาล
ย่อมตัดสิทธิผู้เสียหายคนนั้นที่จะฟ้องคดีอาญาในข้อหาเดียวกันนั้นอีกเท่านั้น หาได้ตัดสิทธิผู้เสียหายคนอื่นที่จะฟ้องคดีอาญาในข้อหาเดียวกันนั้นอีกไม่
เพราะสิทธิในการดำเนินคดีอาญาที่ตนเป็นผู้เสียหายย่อมเป็นสิทธิเฉพาะตัวของผู้เสียหายแต่ละคน
ทั้งมาตรานี้มิได้บัญญัติตัดสิทธิผู้เสียหายแต่ละคนในกรณีที่มีผู้เสียหายหลายคนไว้โดยชัดแจ้ง
ดังนั้น โจทก์ซึ่งเป็นผู้เสียหายที่มิได้ถอนฟ้องจึงมีอำนาจฟ้องคดีอาญาต่อศาลตามมาตรา
28 ได้
(๓)ในส่วนนี้มีความสำคัญมากเพราะจะเป็นจุดเชื่อมโยงที่ว่า
“ผู้เสียหายจะเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการตามมาตรา ๓๐
ได้เฉพาะข้อหาที่เป็นผู้เสียหายเท่านั้น”
คำพิพากษาศาลฎีกาที่
6744/2544
ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ร่วมเข้าร่วมเป็นโจทก์ในคดีได้
น่าจะหมายถึงการอนุญาตเฉพาะในข้อหาบุกรุกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 364,365 เท่านั้น ส่วนข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371
และความผิดต่อพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ
รัฐเท่านั้นเป็นผู้เสียหายจึงเป็นโจทก์ร่วมในข้อหาดังกล่าวไม่ได้ โจทก์ร่วมจึงไม่มีสิทธิฎีกาขอให้ไม่รอการลงโทษจำคุกให้จำเลยในข้อหาดังกล่าว
๔
บุคคลนั้นต้องเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย
กรณีที่ไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย
ตามแนวคำพิพากษาศาลฎีกา
(๑)
บุคคลที่มีส่วนในการกระทำความผิด ไม่ว่าจะเป็น ตัวการ ผู้ใช้ หรือผู้สนับสนุน
หรือมีส่วนประมาทด้วยก็ตาม[1]
(๒) การล่อซื้อ (หากเป็นการชักจูงใจหรือก่อให้ฝ่ายจำเลยกระทำความผิด)[2]
(๓) กรณีสมัครใจทะเลาะวิวาท[3]
(๔) ยินยอมให้ผู้อื่นกระทำผิด[4]
(๕)
ผู้ที่กระทำการโดยมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามโดยชัดแจ้งโดยกฎหมายหรือขัดต่อความสงบฯ[5]
[1]
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 954/2501
บิดาไม่มีอำนาจฟ้องผู้ที่ทำให้บุตรสาวของตนแท้งลูกถึงแก่ความตายด้วยความยินยอมของหญิง
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 302
เพราะหญิงมีส่วนร่วมในการกระทำผิดและมิใช่ผู้ได้รับความเสียหายตามกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่
4461/2539
การที่ผู้ตายและจำเลยต่างขับรถด้วยความเร็วและต่างขับรถเข้าไปในช่องเดินรถของอีกฝ่ายหนึ่งฟังได้ว่าขับรถโดยประมาททั้งสองฝ่ายเมื่อผู้ตายมีส่วนกระทำผิดด้วยผู้ตายจึงมิใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา
2
(4) โจทก์ร่วมซึ่งเป็นบิดาผู้ตายย่อมไม่มีอำนาจจัดการแทนผู้ตายได้ตามมาตรา
5 (2) ไม่มีอำนาจเข้าร่วมเป็นโจทก์ตามมาตรา 30
คำพิพากษาศาลฎีกาที่
7640/2550
การที่ผู้ตายข้ามถนนใต้สะพานลอยคนข้ามจึงเป็นการกระทำโดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์
จึงนับว่าผู้ตายมีส่วนประมาทด้วย ผู้ตายจึงมิใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยในความผิดตาม
ป.อ. มาตรา 291
ผู้ร้องจึงไม่มีอำนาจจัดการแทนผู้ตายและไม่มีอำนาจเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการได้ตาม
ป.วิ.อ. มาตรา 2 (4), 5 (2) และ 3 (2)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่
7128/2547
แม้จำเลยจะขับรถจักรยานยนต์โดยประมาท ชนรถจักรยานยนต์ของผู้ตายเป็นเหตุให้ผู้ตายตกจากรถ
ศีรษะฟาดพื้นและถึงแก่ความตาย
แต่เหตุรถชนกันเกิดขึ้นก็เพราะผู้ตายซึ่งเป็นภรรยาโจทก์ร่วมมีส่วนกระทำโดยประมาท
ผู้ตายจึงไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย
โจทก์ร่วมซึ่งเป็นสามีย่อมไม่มีอำนาจจัดการแทนผู้ตายตาม ป.วิ.อ. มาตรา 5
(2) จึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ในความผิดฐานดังกล่าว
และไม่มีสิทธิอุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำคุกจำเลยโดยไม่รอการลงโทษ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ร่วมข้อนี้และพิพากษาจำคุกจำเลยมาจึงไม่ชอบ
ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย
แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225
[2]
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4085/2545
เมื่อเกิดกรณีละเมิดลิขสิทธิ์ในโปรแกรมคอมพิวเตอร์ของโจทก์
โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะดำเนินคดีแก่ผู้ทำละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์ได้ทั้งทางแพ่งและทางอาญา
ซึ่งมีวิธีพิจารณาคดีและการชั่งน้ำหนักรับฟังพยานหลักฐานที่แตกต่างกัน
เมื่อโจทก์เลือกดำเนินคดีอาญา จึงต้องนำ ป.วิ.อ. มาใช้บังคับโดยอนุโลม
ดังนั้นนอกจากโจทก์จะต้องสืบพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ให้ศาลเห็นโดยปราศจากเหตุอันควรสงสัยว่าจำเลยที่
1 และที่ 2
ได้กระทำความผิดจริงตามคำฟ้อง ยังต้องได้ความว่า โจทก์เป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย
ที่มีอำนาจฟ้องคดีอาญาได้อีกด้วย
ดังนั้น
หากไม่เป็นการชักจูงใจหรือก่อให้ฝ่ายจำเลยกระทำความผิด
จำเลยมีเจตนากระทำการผิดอยู่ก่อนแล้ว จึงเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่
6523/2545
บริษัทจำเลยที่ 1
มีโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ทำซ้ำโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์และพร้อมที่จะคัดลอกหรือทำซ้ำติดตั้งลงในฮาร์ดดิสก์ของเครื่องคอมพิวเตอร์และส่งมอบให้ในวันที่
ฟ.ไปสุ่มซื้อได้ทันทีแม้การกระทำของฟ. จะเป็นการแสวงหาพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีแก่ผู้ที่ละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์
แต่ก็ไม่เป็นการชักจูงใจหรือก่อให้ฝ่ายจำเลยกระทำความผิดคดีนี้ขึ้นมา
เพราะจำเลยมีเจตนากระทำการอันละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์อยู่ก่อนแล้ว
โจทก์จึงเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัยมีอำนาจฟ้องจำเลยได้ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ
มาตรา 26 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(4)
และมาตรา 28(2)
[3]
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1183/2494 ผู้ที่สมัครใจเข้าวิวาทต่อสู้ทำร้ายร่างกายซึ่งกันและกันนั้น
ทางนิตินัยไม่ถือว่าเป็นผู้เสียหายจึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ลงโทษซึ่งกันและกันได้ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา 28(2)
[4]
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1526/2525
กรณีเกี่ยวกับลายมือชื่อนั้นไม่มีกฎหมายให้อำนาจลงลายมือชื่อแทนกันได้
แม้เจ้าของลายมือชื่ออนุญาตหรือให้ความยินยอมก็ลงลายมือชื่อแทนกันไม่ได้
การที่จำเลยทำหนังสือถึงผู้จัดการสหกรณ์ แจ้งให้ทราบว่า ศ.
น้องสาวโจทก์เดินทางไปศึกษาต่อต่างประเทศและขอลาออกจากสมาชิกสหกรณ์
โดยใช้ชื่อโจทก์หรือลงลายมือชื่อโจทก์ จึงเป็นการลงลายมือชื่อปลอมในเอกสาร
ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264
แต่เมื่อปรากฏว่า จำเลยทำหนังสือดังกล่าวโดยความยินยอมของโจทก์
โจทก์จึงไม่อยู่ในฐานะที่จะได้รับความเสียหาย ศ.และสหกรณ์ก็ไม่ได้รับความเสียหาย
จำเลยจึงไม่มีความผิด
***
ระวัง *** คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4147/2550
ป.อ. มาตรา 277 วรรคแรก
บัญญัติให้ผู้กระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกิน 15 ปี
ซึ่งมิใช่ภริยาของตนนั้น มีความผิดโดยไม่คำนึงว่าเด็กหญิงนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม
แต่หากเด็กหญิงนั้นยินยอม
ก็มิได้หมายความว่าเด็กหญิงนั้นมีส่วนร่วมในการกระทำความผิดด้วย
เมื่อเด็กหญิงทั้งสามถูกกระทำชำเรา
แม้เด็กหญิงทั้งสามจะยินยอมก็เป็นบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำความผิดข้อหานี้ตาม
ป.วิ.อ. มาตรา 2 (4) โจทก์ร่วมที่ 2
ที่ 3 และที่ 5
ในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรมย่อมมีอำนาจจัดการแทนเด็กหญิงทั้งสามตามป.วิ.อ. มาตรา 5
(1) และมีสิทธิยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ในความผิดข้อหานี้ได้ตาม
ป.วิ.อ. มาตรา 3 (2)
[5]
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 771/2493
การที่ผู้เสียหายตกลงจะซื้อธนบัตรปลอมจากจำเลย
แม้จะเป็นโดยจำเลยใช้อุบายหลอกลวงอันเป็นความผิดฐานฉ้อโกงก็ดีก็เป็นความตกลงที่มีวัตถุประสงค์จะกระทำผิดกฎหมาย
มิได้เป็นไปด้วยความสุจริตจะถือตนว่าเป็นผู้เสียหายโดยชอบด้วยกฎหมายมิได้
ฉะนั้นพนักงานอัยการจึงไม่มีสิทธิที่จะนำคดีอันเนื่องจากคำร้องทุกข์ของผู้เสียหายเช่นนี้
มาว่ากล่าวได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่
30/2543
จำนวนเงินในเช็คพิพาทได้รวมดอกเบี้ยเงินกู้ยืมในอัตราร้อยละ 10 ต่อเดือน เข้าไว้ด้วยกัน
ซึ่งเป็นการต้องห้ามตามพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2475 มาตรา 3(1) ประกอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 654
การที่ผู้เสียหายรับเช็คพิพาทจากจำเลยเพื่อชำระหนี้เงินกู้ยืมซึ่งมีดอกเบี้ยที่ผู้เสียหายคิดเกินอัตราตามกฎหมายรวมอยู่ด้วย
ถือได้ว่าผู้เสียหายเป็นผู้กระทำผิดในส่วนของดอกเบี้ยที่ผู้เสียหายคิดเกินอัตราตามกฎหมาย
ดังนั้น แม้ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คพิพาท
ก็จะถือว่าผู้เสียหายเป็นผู้ทรงโดยชอบและเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา 2(4) ไม่ได้ ผู้เสียหายจึงไม่มีอำนาจร้องทุกข์ตามมาตรา
3 (1) การสอบสวนของพนักงานสอบสวนจึงเป็นไปโดยไม่ชอบและโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยตามมาตรา
120,121
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1343/2549
จำเลยทั้งสองกับพวกและผู้เสียหายได้ทำพิธีปลุกเสกเหรียญรัชกาลที่ 5 เพื่อให้ได้เลขท้าย 2 ตัว ของรางวัลที่ 1 สลากกินแบ่งรัฐบาล เมื่อได้เลข 96
มาแล้วจำเลยทั้งสองกับพวกและผู้เสียหายตกลงกันว่าจะไปซื้อหวยใต้ดิน
ผู้เสียหายได้มอบเงินจำนวน 50,000 บาท ให้จำเลยที่ 2 เพื่อซื้อหวยใต้ดิน หลังจากมอบเงินให้จำเลยที่ 2
แล้ว จำเลยที่ 2 กับพวกก็หลบหนีไป
พฤติการณ์ของผู้เสียหายดังกล่าวข้างต้นเป็นการร่วมกับจำเลยทั้งสองกับพวกเล่นการพนันสลากกินรวบอันเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายมีโทษทางอาญา
ผู้เสียหายคดีนี้จึงไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยที่จะมีสิทธิร้องทุกข์ขอให้เจ้าพนักงานตำรวจดำเนินคดีแก่จำเลยทั้งสองในความผิดฐานฉ้อโกงซึ่งเป็นความผิดอันยอมความได้
พนักงานสอบสวนย่อมไม่มีอำนาจสอบสวน และพนักงานอัยการโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น